วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

องค์กรอัจฉริยะ(Organization Intelligence)

องค์กรของคุณไม่ว่าเล็กหรือใหญ่สามารถที่จะขับพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเพื่อสร้างให้เป็นองค์กรแห่งอัจฉริยะได้ทั้งสิ้น องค์กรอัจฉริยะคือ “องค์กรที่สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดพร้อมทั้งสามารถปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถที่มีเอกลักษณ์ในการแข่งขันในการสร้างคุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง” เคล็ดลับที่สำคัญก็คือ กระบวนการที่สร้างความฉลาด (S-M-A-R-T development process) ที่เริ่มตั้งแต่การสร้างจุดร่วมพลัง การเจียระไนพลังที่อยู่ภายใน การสร้างสถาปัตยกรรมในการปลดปล่อยอัจฉริยภาพ ระบบการปรับตัวที่เรียนรู้การสร้างเสริมปัญญา ตลอดจนการมีวินัยในการสร้างเอกลักษณ์ของอัจฉริยภาพให้เจิดจรัสขึ้น
ทำให้คุณค่าทางทรัพสินลดลงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่สำคัญเพิ่มขึ้นก็คือพลังอัจฉริยภาพของคนที่อยู่ในองค์กรที่ขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความสามารถที่แข่งขันได้ไม่เฉพาะตลาดในประเทศแต่ต้องในตลาดโลกด้วย ดังนั้นพลังอัจฉริยภาพขององค์กรขึ้นอยู่กับการรวมอัจฉริยภาพส่วนบุคคลและสามารถดึงเอาพลังที่ซ่อนเร้นอยู่มาใช้ได้อย่างสูงสุด และสร้างกระบวนการในการประสานรวมทั้งสามารถพัฒนาให้เกิดการต่อยอดทางนวัตกรรมเพื่อคิดค้นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งมีกระบวนการเรียนรู้และสร้างแนวทางในการปฏิบิตงานอย่างมืออาชีพที่หมั่นพัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า การสร้างองค์กรอัจฉริยะเป็นกระบวนการที่ต้องต่อเนื่อง เพราะการเรียนรู้และการประสานที่เกิดขึ้นนั้นจำเป็นที่ต้องมีการหมุนเวียนไปอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการปรับปรุงทั้งในทิศทางที่จะนำพาความเก่งขององค์กร การสร้างกระบวนการปลดปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างสถาปัตยกรรมของทักษะในการต่อยอดอัจฉริยภาพ การประสานพลังกับวงจรของความต้องการที่หมุนอยู่ตั้งแต่ลูกค้า ผู้ถือหุ้น
วิกฤตเศรษฐกิจเป็นสถานกาณ์ที่สามารถทดสอบถึงอัจฉริยะภาพขององค์กรได้เป็นอย่างดีว่า องค์กรไหนมีศักยภาพในการแข่งขันระดับไหน หลายองค์กรที่ล้มหายตายจากไปเนื่องจากว่าไม่ได้ประมาณตนว่าตัวเองนั้นมีอัจฉริยภาพในด้านไหน และความเก่งกาจนั้นอยู่ในมิติที่จะแข่งขันในระดับไหนของตลาดโลก เพราะเมื่อตลาดเงินทุนเปิดเรามักจะนำเงินทุนที่ไหลเข้ามามาสร้างความหลายหลายทางธุรกิจแต่หาได้สร้างอัจฉริยภาพขององค์กรในแนวลึกไม่ เมื่อเราขยายตัวในแนวกว้างแต่ไม่ได้ส่งเสริมความสามารถที่แท้จริงในแนวลึกทำให้เกิดความหลายหลายของการทำธุรกิจทำให้เงินที่มีอยู่กลายเป็นเบี้ยหัวแตก หลายองค์กรกลับมาถามตัวเองเมื่อเกิดความผกผันทางวิกฤตว่าถ้ามี
ทรัยพากรและเมล็ดเงินจำกัดเราจะต่อยอดความเก่งของเราในแกนไหนเพื่อที่จะสร้างอัจฉริยภาพของความเก่งกาจที่สามารถจะแข่งขันแบบมืออาชีพในตลาดโลกได้อย่างแท้จริง
อะไรคือองค์กรอัจฉริยะ ? องค์กรอัจฉริยะ คือ “องค์กรที่สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดพร้อมทั้งสามารถปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถที่มีเอกลักษณ์ในการแข่งขันในการสร้างคุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง” ในสมัยก่อนนั้นโรงงานและเครื่องจักรคือเครื่องไม้เครื่องมือที่สำคัญ แต่ในปัจจุบันนี้การเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาทางเทคโนโลยี่ได้
Copyright reserved by Kris Ruyaporn, Asia Pacific Innovation Center Co.,ltd. Article : องค์กรอัจฉริยะ
พนักงาน และสังคมที่อยู่ด้วย ตลอดจนการสร้างรูปธรรมจากความฉลาดสู่แนวปฏิบัติ ซึ่งกระบวนการนี้แบ่งเป็นห้าขั้นตอนด้วยกันหรือที่เราเรียกกันว่า " S-M-A-R-T Organization Development Process " S - Strategic Vision and cultural formation การกำหนดวิสัยทัศน์และวัฒนธรรม M - Manage intelligence empowerment process การเจียระไนพลังที่มีอยู่ภายใน A - Architect organization competencies การวางสถาปัตย์กรรมในการปลดปล่อยอัจฉริยภาพ R - Realign win-win learning system การสร้างระบบการเรียนรู้ขององค์กร T - Transform wisdom into action สร้างอัจฉริยภาพให้กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรม
S - Strategic Vision and cultural formation (การกำหนดวิสัยทัศน์และวัฒนธรรม) องค์กรที่มีพลังและสามารถประสานอัจฉริยภาพในองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีจุดประสงค์และเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำพาให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังที่สร้างสรรค์จากการปลดปล่อยอัจฉริยภาพของทุกคนในองค์กร ตลอดจนสามารถที่จะสร้างความท้าทายในการปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในที่ยังไม่ได้ใช้จากบุคคลากรในองค์กรด้วย การสร้างวิสัยทัศน์เป็นศิลปะของผู้นำองค์กรที่ต้องสร้างกุศลโยบายในการประสานพลังแห่งความปรารถนาที่มีอยู่ในตัวบุคคลากรทุกคนไปสู่จุดมุ่งหมายที่กลายเป็นจุดร่วมอันยิ่งใหญ่

ผู้เขียนเองมีโอกาสเป็นที่ปรึกษาในการสร้างวิสัยทัศน์ขององค์กรตลอดจนวัฒนธรรมขององค์กร ทั้งบริษัทข้ามชาติตลอดจนองค์กรสไตล์ไทยตั้งแต่ระดับ SME จนถึงขนาดใหญ่ ถ้าผู้บริหารระดับสูงสามารถใช้วิสัยทัศน์ได้อย่างถูกต้องแล้วการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ร่วมกันจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารพลังอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในใจของคนในองค์กรที่ต้องการจะประสานพลังแห่งอัจฉริยภาพ เพราะถ้าหัวใจขององค์กรยังไม่มีพลังพอ การดึงเอาพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในก็เป็นไปได้ยาก ความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนที่สามารถทำให้เขามีพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าผ่านอุปสรรคต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อฉันใด วิสัยทัศน์ที่ท้าทายขององค์กรก็เปรียบเสมือนความฝันที่ร่วมพลังอันยิ่งใหญ่ของ
ทุกคนที่นอกจากจะร่วมพลังความฝันอันยิ่งใหญ่เข้าด้วยกันแล้ว ยังจำต้องสร้างรายละเอียดและความคมชัดในการสร้างความฝันให้เป็นความจริงด้วย เพราะการสื่อสารวิสัยทัศน์จำเป็นที่ต้องเข้าถึงคนทุกระดับในองค์กรทั้งความท้าทาย ความเชื่อมั่นในแนวทาง คำมั่นสัญญาของทุกคนในองค์กรที่จะสร้างให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน ตลอดจนกำลังใจและความกล้าในการสร้างความฝันนั้นให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา นอกเหนือจากเป้าหมายที่คมชัดที่และมีความหมายแล้ว ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปลดปล่อยพลังแห่งอัจฉริยภาพขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพดุงดังบรรยากาศของครอบครัวและโรงเรียนมีความสำคัญในการพัฒนาการเจริญเติบโตของเด็กฉันใด บรรยากาศขององค์กรก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
Copyright reserved by Kris Ruyaporn, Asia Pacific Innovation Center Co.,ltd. Article : องค์กรอัจฉริยะ
ถ้าครอบครัวมีค่านิยมที่ต้องการให้ลูกเรียบร้อยเหมือนผ้าผับไว้ ทำตามใจของผู้ปกครอง ไม่ต้องการเด็กซน ความสามารถทางความคิดและจินตนาการก็ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ หรืออาจะจะไม่ต้องใช้ด้วยซ้ำไป แต่การสร้างองค์กรแห่งอัจฉริยะนั้นจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้ทุกคนในองค์กรสามารถแลกเปลี่ยนแนวความคิดยอมรับไอเดีย และส่งเสริมการต่อยอดของความคิดเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่พัฒนาให้ดีไปกว่าเดิม รวมทั้งการผลักดันให้เกิดแนวความคิดเชิงนวัตกรรมสมัยใหม่จากการเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์พื้นฐานให้เกิดป็นปัญญาเพื่อสร้างสรรค์สื่งใหม่ ๆ แต่บรรยากาศใหม่ในการประสานอัจฉริยภาพนี้ต้องเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดจากเดิมในการต้องการนักปฏิบัติที่ดี การเป็นนักคิดที่มีจินตนาการ M - Manage intelligence empowerment process (การการเจียระไนพลังที่มีอยู่ภายใน) เมื่อองค์กรมีความพร้อมทั้งเป้าหมายที่มีพลังรวมทั้งบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอัจฉริยภาพ ผู้บริหารในองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการเจียระไนและปลดปล่อยอัจฉริยภาพของบุคคลากรในองค์กร ทั้งยังต้องสร้างทักษะในการค้นหาพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน บางองค์กรเริ่มจากการรับคนที่เห็นคุณค่าของตัวเองและพร้อมที่จะพัฒนาคุณค่าที่มีอยู่ภายในให้เจริญงอกงามขึ้นมา ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี้บางองค์กรสนใจเป็นอย่างมากในการพัฒนาความสามารถในองค์กร
ที่มีอยู่แต่เรายังไม่ได้ปลดปล่อยออกมา ถ้าเราสามารถปรับกรอบความคิดพื้นฐานว่าทุกคนมีความสามารถขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และศิลปะของการเจียระไนเพชรที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนให้เจิดจรัสให้มากที่สุด เมื่อกรอบความคิดในการพัฒนาการเริ่มขึ้นคนเราก็จะเริ่มมองหาความสามารถในตัวเอง ถ้าใครสนใจบทเรียนของผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ผู้เขียนได้รวบรวมแนวทางในการค้นหาและสร้างหนทางสู่ความสำเร็จในหนังสือ “พลังแห่งอัจฉริยภาพ” และ “กลยุทธ์สู่การปลดปล่อยอัจฉริยภาพ” ซึ่งทั้งสองเล่มจะกล่าวโดยละเอียดถึงกระบวนการในการเปลี่ยนกรอบความคิดเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเอง การค้นหาพลังความสามารถที่สะสมอยู่ การตั้งเป้าประสงค์ที่มีความหมาย ศิลปะในการเจียระไน ตลอดจนการเสริมสร้างพลังแห่งอัจฉริยภาพ องค์กรที่ต้องการสร้างอัจฉริยภาพจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมสร้างกระบวนการคิดนี้ให้เกิดขึ้นในพนักงานทุกระดับเพื่อให้ทุกคนนำเอาพลังที่มีอยู่ในตัวให้ออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกเหนือจากนั้นแล้วทุกคนก็จะมี Leadership intelligence blueprint หรือพิมพ์เขียวของตัวเองในการพัฒนาภาวะผู้นำซึ่งจะประกอบด้วยความถนัดเชิงอัจฉริยภาพ เป้าหมายที่คมชัดทั้งในระยะยาวและสั้นพร้อมกับเนื้อหาของงานที่ชอบและไม่ชอบ รวมทั้งกลุทธ์การเจียระไนให้เข้ากับ
บุคคลิกภาพของตัวเองมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีความั่นใจและเห็นแนวทางที่เด่นชัดในการดึงเอาอัจฉริยภาพที่มีอยู่มาใช้ให้สูงสุด ถ้าสนใจในรายละเอียดสามารถโทรมาคุยกันได้ที่ บริษัทเอเซีย แปซิฟิก อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ 714-4462 หรือที่ผ่าน internet ผู้เขียนยินดีแลกปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดในการพัฒนาอัจฉริยภาพ A - Architect organization competencies (การวางสถาปัตยกรรมในปลดปล่อยอัจฉริยภาพ) ถ้าองค์กรมีความพร้อมทั้งเป้าหมายที่คมชัด บรรยากาศที่ให้กำลังใจ และเน้นการประสานอัจฉริยภาพ ตลอดจนสร้างพิมพ์เขียวและกระบวนการในการเจียระไนอัจฉริยภาพ องค์กรจำเป็นที่จะต้องสร้าง Methodology หรือ กระบวนการในปฎิบัติที่สร้างระเบียบและการสื่อสารพลังร่วมกันตั้งแต่กรอบความคิดในการมองปัญหา การติดสินใจและการหาแนวคิดหาทางเลือก การบริหารการเปลี่ยนแปลง การสื่อสารและสร้างสัมพันธ์ และการประสานการต่อยอดความคิดของทีมงาน ในการสร้างความสามารถในการสร้างมาตราฐานของกระบวนการ หรือ Methodology ในการปฏิบัตินั้น ผู้เขียนเองมีเสียงเรียกร้องจากองค์กรต่าง ๆ ให้จัดรวบรวมแนวคิดเพื่อพัฒนาสถาปัตยกรรมเพื่อสร้างแนวคิดของพนักงานในทางเดียวกันโดยจัดเป็นหลักสูตรขึ้นมา สำหรับหลักสูตรยอดนิยมที่องค์กรส่วนใหญ่ต้องการใส่ไว้เป็นสถาปัตยกรรม
Copyright reserved by Kris Ruyaporn, Asia Pacific Innovation Center Co.,ltd. Article : องค์กรอัจฉริยะ
ในการส่งเสริมการประสานอัจฉริยภาพของทุกคนในองค์กรมีอยู่ 4 หลักสูตรที่สามารถพัฒนาเป็นกระบวนการปฏิบัติในองค์กรได้ก็คือ 1. Innovative problem analysis and decision making (การวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจเชิงนวัตกรรม) เป็นการสร้างทักษะในการจัดการกับปัญหาอย่างมีระบบ เริ่มจากการมองปัญหาด้วยแนวทางการวิเคราะห์เพื่อสร้างกรอบความคิดที่ถูกต้อง การสร้างบรรยากาศในการปลดปล่อยความคิดพร้อมทั้งเข้าใจและเคารพการประสานอัจฉริยภาพ ตลอดจนสร้างจินตนาการและทางเลือกที่หลากหลาย การสร้างกระบวนการตัดสินใจในการสร้างทางเลือกที่ชาญฉลาดรวมทั้งการสร้างการติดตามผลในการสร้างรูปธรรมในการตัดสินใจ 2. Change management (กลยุทธ์การบริหารการเปลี่ยนแปลง) เมื่อหาทางเลือกของการแก้ปัญหาได้แล้ว การสร้างรูปแบบใหม่ในการสร้างรูปธรรมต้องเริ่มตั้งแต่การวางแผนโครงการของการเปลี่ยนแปลงว่าจะต้องมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องการทรัพยากรและกำหนดตารางเวลาเพื่อมอบหมายงานและการประสานขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเข้าใจอุปสรรคในแต่ละช่วงของการบริหารโครงการ ถ้าพนักงานในองค์กรเชี่ยวชาญการบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติการพัฒนาอัจฉริยภาพจะเกิดความต่อเนื่องด้วย
3. Relationship innovation and emotional intelligence (การสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ การสื่อสารและความฉลาดในการประสานอัจฉริยภาพ) สิ่งที่สำคัญในการต่อยอดอัจฉริยภาพก็คือ การสร้างพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แนบแน่น การเข้าถึงจิตใจและสร้างสายสัมพันธ์ รวมทั้งการสร้างบัญชีแห่งความประทับใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัมพันธ์ภาพที่ดี ตลอดจนความสามารถในการสื่อสารความคิด การประสานความเก่งและการเปลี่ยนความต่างและความขัดแย้งให้เกิดเป็นโอกาสและความฉลาดขององค์กร 4. Hi trust Hi-performance team (การสร้างทีมงานที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังและศักยภาพ) การสร้างทีมงานที่รู้ใจกันและสามารถจังหวะในการปรับกระบวนความคิดดังนักดนตรที่สามารถประสานบทเพลงให้เกิดความไพเราะเป็นศิลปะและกระบวนการที่องค์กรจะต้องแปรเปลี่ยนอัจฉริยภาพส่วนบุคคลให้กลายเป็นอัจฉริยภาพขององค์กร พร้อมทั้งสามารถที่จะรู้วิธีการมอบหมายหน้าที่ตามความถนัด และบริหารความสำเร็จของทีมงานอย่างเป็นระบบ หลักสูตรทั้ง 4 นี้เป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่ทำให้เกิดกระบวนการในการหมุนพลังแห่งอัจฉริยภาพให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถ้าองค์กรไหนพัฒนาการผสมผสานให้เข้ากับวิสัย
ทัศน์ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรและอัจฉริยภาพของศักยภาพของคนในองค์กรก็จะกลายเป็นความกลมกลืนในการรวมพลังในองค์กรให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
R - Realign win-win learning system (การสร้างระบบการเรียนรู้ขององค์กร) เมื่อองค์กรมีการสร้างความสามารถในการประสานอัจฉริยะให้เป็นหนึ่งเดียว การสร้างระบบของการเรียนรู้และการปรับความสามารถจะทำให้เกิดการต่อยอดของอัจฉริยภาพเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการใช้อัจฉริยภาพที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด เพื่อให้เกิดคุณค่าทั้งภายในองค์กรและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการลูกค้าคนสำคัญ พนักงานในองค์กร ผู้ถือหุ้นและสังคมโดยส่วนรวมนับเป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้เขียนเองได้แนวความคิดของการสร้าง Intelligence nervous system ขององค์กรจาก คุณอาภรณ์ ศรีพิพัฒน์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ไมโครซอพท์ ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานของกลุ่มบริษัท ภูมิซอพท์ และ SIT ซึ่งได้พัฒนาระบบ software ที่เรียกว่า “COACH” เพื่อช่วยบริหารอัจฉริยภาพขององค์กรให้เกิดการเรียนรู้และการปรับตัวในการลงทุนเพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพ พร้อมทั้งรู้จุดเด่นและอัจฉริยภาพของบุคคลากรในองค์กร โดยสามารถที่จะค้นหาสร้างแผนพัฒนาการให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ วัฒนธรรมในแต่ละช่วงของ
Copyright reserved by Kris Ruyaporn, Asia Pacific Innovation Center Co.,ltd. Article : องค์กรอัจฉริยะ
การเจริญเติบโต รวมทั้ง Competencies หรือจุดโดดเด่นขององค์กร นอกจากมีระบบการปรับอัจฉริยภาพที่คล่องตัวแล้ว การสร้างระบบการวัดผลภายในองค์กร หรือ win-win evalution เพื่อเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของอัจฉริยภาพองค์กรก็เป็นประโยชน์กับการทำธุรกิจ ซึ่งนับเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ในการปรับแนวทางการพัฒนาเป็นอย่างมาก ผู้เขียนเองมีโอกาสสร้างกระบวนการ Customer benchmarking โดยเป็นการประสานอัจฉริยภาพกับผู้ที่เราให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า ซึ่งจะเป็นการให้ความต้องการที่แท้จริงของอัฉริยภาพ เพราะความต้องการนี้มีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ดังนั้นระบบการเรียนรู้จากสภาวะแวดล้อมและความพร้อมขององค์กรจะสร้างประโยชน์สูงสุดกับคุณค่าขององค์กรที่มีอยู่ตลอดจนสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับความผกผันที่แปรเปลี่ยน T - Transform wisdom into action (สร้างอัจฉริยภาพให้กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรม) กระบวนการสุดท้ายเป็นการรวมรวมเอากระบวนทั้ง 4 หล่อหลอมให้เกิดเป็นปัญญาแก่ผู้ปฏิบิติการ เพื่อสร้างเป็นเอกลักษณ์ของการปฎิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรม
" สิ่งที่สำคัญในการต่อยอดอัจฉริยภาพก็คือการสร้างพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แนบแน่น การเข้าถึงจิตใจและสร้างสายสัมพันธ์ รวมทั้งการสร้างบัญชีแห่งความประทับใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัมพันธภาพที่ดี "
เพราะการสร้างอัจฉริยภาพขององค์กรทั้งในแนวการสร้างวิสัยทัศน์ วัฒนธรรม การสร้างพิมพ์เขียวในการเจียระไน การสร้างสถาปัตย์กรรมและวางระบบการเรียนรู้ขององค์กร บางครั้งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่หลายมิติด้วยกัน ถ้าไม่มีการวางแผนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบแล้วอาจเกิดการต่อต้านหรือเกิดความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับประบวนการคิดใหม่ ๆ ผู้เขียนเองมีโอกาสไปเป็นพี่เลี้ยงเพื่อผสมผสานแนวคิดใหม่ให้เกิดเป็นแนวปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จำต้องวางรูปแบบเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ความมั่นใจและศรัทธา
ในการวางแนวทางการพัฒนารูปแบบขององค์กรอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพราะแต่ละองค์กรก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Pfizer, IBM, Oracle, ตลาดหลักทรัพย์, Leo group of companies, การเคหะแห่งชาติ องค์กรทั้งหลายที่ผู้เขียนมีโอกาสช่วยเป็นที่ปรึกษาเพื่อสร้างองค์กรแห่งอัจฉริยะล้วนแล้วแต่มีจังหวะและเอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อสร้างการโยงใยวิสัยทัศน์กับความฉลาดขององค์กรให้กลายเป็นหนึ่งพร้อมทั้งรอยยิ้มในการแปรเปลี่ยนเพื่อการต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจ
http://www.e-apic.com/article/Seven.htm

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ห่วงโซ่อุปทาน
ห่วงโซ่อุปทานคืออะไร?
ห่วงโซ่อุปทาน หมายถึง การเชื่อมต่อของหน่วยหรือจุดต่างๆ ในการผลิตสินค้าหรือบริการ ที่เริ่มต้นจากวัตถุดิบไปยังจุดสุดท้ายคือลูกค้า โดยทั่วไปแล้ว ห่วงโซ่อุปทานประกอบด้วยจุดที่สำคัญๆ คือ (ดังแสดงในรูปที่ 1)
ผู้ส่งมอบ (Suppliers) หมายถึง ผู้ที่ส่งวัตถุดิบให้กับโรงงานหรือหน่วยบริการ เช่น เกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังหรือปาล์ม โดยที่เกษตรกรเหล่านี้จะนำหัวมันไปส่งโรงงานทำแป้งมันหรือโรงงานทำกลูโคส หรือนำผลปาล์มไปส่งที่โรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม เป็นต้น
โรงงานผู้ผลิต (Manufacturers) หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ในการแปรสภาพวัตถุดิบที่ได้รับจากผู้ส่งมอบ ให้มีคุณค่าสูงขึ้น
ศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) หมายถึง จุดที่ทำหน้าที่ในการกระจายสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภคหรือลูกค้าที่ศูนย์กระจายสินค้าหนึ่งๆ อาจจะมีสินค้าที่มาจากหลายโรงงานการผลิต เช่น ศูนย์กระจายสินค้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ จะมีสินค้ามาจากโรงงานที่ต่างๆ กัน เช่น โรงงานผลิตยาสระผม, โรงฆ่าสัตว์, เบเกอรี่ เป็นต้น
ร้านค้าย่อยและลูกค้าหรือผู้บริโภค (Retailers or Customers) คือ จุดปลายสุดของโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นจุดที่สินค้าหรือบริการต่างๆ จะต้องถูกใช้จนหมดมูลค่า และโดยที่ไม่มีการเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าหรือบริการนั้นๆ
ห่วงโซ่อุปทานมีความสำคัญอย่างไร?
สินค้าหรือบริการต่างๆ ที่ผลิตออกสู่ตลาด จะต้องผ่านทุกจุดหรือหน่วยต่างๆ ตลอดทั้งสายของห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น คุณภาพของสินค้าและบริการนั้น จะขึ้นอยู่กับทุกหน่วย มิใช่หน่วยใดหน่วยหนึ่งโดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้มีแนวความคิดในการบูรณาการทุกๆ หน่วยเพื่อให้การผลิตสินค้าหรือบริการเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามที่ลูกค้าคาดหวัง ดังเช่น น้ำมันปาล์มประกอบอาหาร ในสายของห่วงโซ่อุปทานประกอบด้วยผู้ส่งมอบ ซึ่งมักจะเป็นเกษตรกรผู้นำผลปาล์มมาส่งให้กับโรงงานหีบเพื่อนำน้ำมันปาล์มดิบออกจากผลปาล์ม ในขั้นตอนต่อไปน้ำมันปาล์มดิบก็จะถูกส่งต่อให้โรงงานผลิตน้ำมันปาล์มสำหรับใช้ประกอบอาหาร น้ำมันปาล์มประกอบอาหารนี้ก็จะถูกบรรจุในลังกระดาษและถูกส่งออกจากโรงงานและส่งต่อไปยังผู้ประกอบการรายต่อไป เช่น ผู้ดำเนินการซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าปลีกย่อย เพื่อที่จะนำไปวางขายบนชั้นวางของตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าปลีกย่อยเพื่อให้ผู้บริโภคได้มาทำการเลือกซื้อสินค้า จากตัวอย่างขั้นต้นจะเห็นว่า ทุกๆ จุดในสายของห่วงโซ่อุปทานมีผลต่อคุณภาพของน้ำมันปาล์มประกอบอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อสินค้า
กิจกรรมหลักในห่วงโซ่อุปทาน
การจัดหา (Procurement) เป็นการจัดหาวัตถุดิบหรือวัสดุที่ป้อนเข้าไปยังจุดต่างๆ ในสายของห่วงโซ่อุปทาน จากตัวอย่างข้างต้น หากโรงงานได้ผลปาล์มที่มีคุณภาพต่ำ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัย ก็จะส่งผลต่อคุณภาพและต้นทุน ฉะนั้น การจัดหาก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะส่งผลต่อคุณภาพและต้นทุนการผลิต
การขนส่ง (Transportation) เป็นกิจกรรมที่เพิ่มคุณค่าของสินค้าในแง่ของการย้ายสถานที่ หากน้ำมันปาล์มประกอบอาหารถูกขายอยู่ที่หน้าโรงงานผลิตอาจจะไม่มีลูกค้ามาซื้อเลยก็ได้ อีกประการหนึ่งก็คือ หากการขนส่งไม่ดี สินค้าอาจจะได้รับความเสียหายระหว่างทาง จะเห็นว่าการขนส่งก็มีผลต่อต้นทุนโดยตรง
การจัดเก็บ (Warehousing) เป็นกิจกรรมที่มิได้เพิ่มคุณค่าให้กับตัวสินค้าเลย แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ต้องมีเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าที่ไม่คงที่ รวมทั้งประโยชน์ในด้านของการประหยัดเมื่อมีการผลิตของจำนวนมากในแต่ละครั้ง หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีปริมาณวัตถุดิบที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสภาพลม ฟ้า อากาศ
การกระจายสินค้า (Distribution) เป็นกิจกรรมที่ช่วยกระจายสินค้าจากจุดจัดเก็บส่งต่อไปยังร้านค้าปลีกหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต
ข้อพิจารณาในการปรับใช้
กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสายของห่วงโซ่อุปทานถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย หากมีการบริหารและจัดการให้กิจกรรมเหล่านี้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำลงด้วย นั่นหมายถึงต้นทุนในการผลิตก็จะลดลงด้วย ฉะนั้น หากมีการบูรณาการหน่วยต่างๆ ในสายของห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการมุ่งไปสู่ความสำเร็จ
http://www.ismed.or.th/SME/src/bin/controller.php?view=knowledgeInsite.KnowledgesDetail&p=&nid=&sid=29&id=1399&left=10&right=11&level=3&lv1=3

CRM

CRM คือ อะไร
เมื่อเราพูดถึง CRM หรือ Customer Relatoinship Management เป็นคำที่พวกเราซึ่งอยู่ในแวดวงการค้า ธุรกิจการค้าการตลาด ได้ยินคำนี้กันอยู่บ่อยๆ ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าทุกคนหันมาสนใจในการให้บริการลูกค้า ให้ดีกว่าเดิม CRM คือ อะไร? มีคำถามมากมาย...สำคัญกับธุรกิจอย่างไร? เรามาหาคำตอบกัน..ครับสิ่งแรกที่สำคัญที่สุด อยู่ที่การทำความเข้าใจว่า CRM คืออะไร CRM ในความหมายทั่วไป คือ กระบวนการจัดการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพิ่งจะได้รับการกล่าวถึง และนำมาใช้ในยุคนี้ เกือบทุกองค์กรจะนำ CRM เข้ามาใช้โดยอาจอยู่ภายในหนึ่ง แผนกหรือมากกว่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นการเก็บประวัติการณ์ให้บริการ ลูกค้าของแผนกดูแลลูกค้า โดยการบันทึกความคิดเห็นของ ลูกค้า หรือข้อมูลที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่นานมานี้ คือ ผลกระทบ ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อกระบวนการบริหารลูกค้าที่เห็น ได้ชัดเจน คือการใช้เทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมฐานข้อมูล ลูกค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (การจัดเก็บในคอมพิวเตอร์) หรือการนำศูนย์บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ (Call Center) เข้ามาสนับสนุนการทำงาน ระบบที่มีความทันสมัยส่วนใหญ่ จะมีความสามารถในการ จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้จำนวนมาก และจะเป็นเครื่องมือใน การรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกในการ ใช้งานขององค์กร ข้อมูลที่เก็บไว้สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ ในโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อลูกค้าติดต่อกับองค์กรในครั้งล่าสุดเมื่อใด, เป็นการติดต่อในเรื่องอะไร, มีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร และใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแลลูกค้ารายนั้น
CRM ไม่ใช่สิ่งใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพิ่งจะได้รับการกล่าวถึง และนำมาใช้ในยุคนี้คุณสมบัติที่ดีที่สุดของ CRM คือ ความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และสามารถในการประเมินความต้องการ ของลูกค้าล่วงหน้าได้ เพื่อให้การ ปฏิบัติงาน สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานของ CRM ยังรวมถึงลักษณะเฉพาะ ที่โดดเด่นอีกจุดหนึ่ง นั่นคือการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์ เช่น ระบบ CRM สามารถแจ้งให้เจ้าของ รถยนต์ทราบล่วงหน้าว่า รถของพวกเขาถึงเวลาอันสมควร ที่จะได้รับการตรวจเช็คจากศูนย์บริการ โดยระบบจะทราบถึงรายละเอียด ของข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ ในการติดต่อ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ จดหมายแจ้งลูกค้า จะถูกส่งไปตามที่อยู่ที่ เก็บบันทึกไว้ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับบริการตรวจเช็ครถคัน ดังกล่าว รวมถึงการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า ด้วยการแนะนำศูนย์บริการที่ใกล้ที่สุดให้ กระบวนการ CRM นี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าบริษัทผลิตรถยนต์ได้ใช้ระบบนี้ เพื่อสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกๆ ปี หรือทุกๆ ครึ่งปี ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและการพัฒนาของ ซอฟต์แวร์ได้ช่วยอำนวยความสะดวก ให้องค์กรสามารถเก็บ รวบรวมข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีระบบและนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อได้เปรียบที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ระบบการทำงาน ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ซึ่งมีความเที่ยงตรงกว่า การบริหารโดยคน และยังสามารถแสดงให้เห็นถึงทิศทาง และแนวโน้มในเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น อัตราการเติบโตของลูกค้า, ความจำเป็นที่จะต้องหาพนักงานใหม่ และ การฝึกฝนทีมงาน และที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ
http://thaicrm.blogspot.com/2006/10/crm.html

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

ทดสอบ ครั้งที่ 1